
การชําระหนื้ที่ดีแบบถูกกฎหมาย
การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ควรมีการวางแผนการเงิน และบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสม เพื่อลดการก่อหนี้เพิ่ม ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เกิดโรคร้าย เกิดภัยธรรมชาติ ทำให้สภาพคล่องทางการเงินเริ่มจัดการไม่ดีพอ จนกลายเป็นหนี้ “หนี้” คือ ความผูกพันทางกฎหมาย ระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเจ้าหนี้ และ ฝ่ายลูกหนี้ โดยเจ้าหนี้ มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชําระหนี้ได้ และฝ่ายลูกหนี้มีหน้าที่ต้องชําระหนี้ให้แก่ เจ้าหนี้ เช่น การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือและ ต้องลงลายมือชื่อผู้กู้สามารถฟ้องร้องบังคับกันได้ โดยลูกหนี้ควรมีการชำระหนี้ให้ตรงตามสัญญา และตรงเวลา เพื่อเพิ่มโอกาสทางการเงินที่ดี เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เจ้าหนี้ใช้สิทธิในการติดตามทวงถาม การฟ้องหรือดำเนินคดีตามกฎหมายได้ โดยเราแนะนำวิธีในการชำระหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แบบ 3 เต็ม 4 ตรง ดังนี้
วิธีที่ 1 การชำระหนี้ โดยวิธี 3 เต็ม หมายถึง
- ชำระเงินแบบเต็มสิทธิ คือ ลูกหนี้ควรมีสิทธิในทรัพย์สินที่ใช้ชําระหนี้
- ชำระเงินแบบเต็มส่วน คือ ลูกหนี้ควรชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหมด จะชําระเพียงบางส่วนไม่ได้
- ชำระเงินแบบเต็มคุณภาพ คือ ลูกหนี้ควรส่งมอบทรัพย์สินที่มีคุณภาพดี สมบูรณ์ ให้แก่เจ้าหนี้
ผลของการชำระหนี้ผิดสัญญา เช่น หากไม่ชำระเงินที่เหลือภายในกำหนด เงินที่จ่ายมาทั้งหมดจะถูกริบและไม่มีการคืน หรือจะมีการคิดดอกเบี้ยปรับในอัตราที่สูงกว่าปกติจนนำไปสู่วิธีไกล่เกลี่ยก่อนหรือฟ้องงร้องดำเนินคดีต่อศาล
วิธีที่ 2 การชำระหนี้ โดย วิธี 4 ตรง หมายถึง
- ชำระเงินแบบตรงตกลง คือ มีข้อตกลงในชําระหนี้ให้เป็นไปตามนั้น
- ชำระเงินแบบตรงเวลา คือ ลูกหนี้ต้องชําระหนี้ให้ตรงเวลาไม่เนิ่นช้า
- ชำระเงินแบบตรงเจ้าหนี้ คือ ต้องชําระหนี้ให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าหนี้ หรือผู้มีอํานาจรับชําระหนี้แทนเจ้าหนี้
- ชำระเงินแบบตรงสถานที่ คือ ลูกหนี้ต้องชําระหนี้ให้ตรงสถานที่ที่ตกลงกันเอาไว้
ผลของการผิดนัด ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในค่าสินไหมทดแทน หากมีการระบุไว้ วางผิดนัดชำระจะต้องเสียดอกเบี้ย ลูกหนี้ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่มีกำหนดไว้ในสัญญานั่นเอง
ส่วนลูกหนี้หากมีการชําระหนี้ต้องมีหลักฐานการชําระหนี้ด้วย เช่น เมื่อจ่ายหนี้ครบควรขอสัญญากู้ยืมคืน หรือ การขอใบเสร็จรับเงินทุกครั้งที่ได้จ่ายเงินโดยปกติ การชําระดอกเบี้ย กฎหมายให้คิดอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี และกรณีมิได้ตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไว้ ให้คิดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และ หากฝ่าฝืน คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนด ให้ถือว่าดอกเบี้ยนั้น เป็นโมฆะ มิให้คิดดอกเบี้ยเลย แต่เงินต้นนั้น ลูกหนี้ยังคงต้องชําระอยู่
โดยการผิดนัดกับผิดสัญญาเป็นการกระทำที่ละเมิดสัญญา ไม่ปฏิบัติตามสัญญา อย่างการผิดนัดคือลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินกำหนด และผิดสัญญาคือการที่ลูกหนี้ไม่ชำระเงิน ทำให้ลูกหนี้กลายเป็นผู้ผิดนัดทันที ซึ่งในชีวิตของคนเรานั้น มีโอกาสเป็นได้ทั้งเจ้าหนี้ และลูกหนี้ สลับกันได้ตลอดเวลา แล้วแต่ละช่วงจังหวะของชีวิต หากเปรียบกับเจ้าของธุรกิจแห่งหนึ่ง เมื่อเจ้าของเปิดธุรกิจบริการ โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันกับสถาบันการเงิน ซึ่งอยู่ในฐานะลูกหนี้ ของสถาบันการเงินนั้น และเมื่อมีลูกค้ามาใช้บริการเสร็จแล้ว ลูกค้าก็มีหน้าที่ต้องชําระเงินค่าบริการนั้น หากลูกค้าไม่ชําระเงิน ค่าบริการ ก็จะตกเป็นลูกหนี้ไปโดยปริยาย เจ้าของธุรกิจก็สามารถเรียกให้ลูกค้าชําระหนี้ได้ ในทางกลับกัน เมื่อเจ้าของกิจการ กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และเจ้าของธุรกิจไม่ชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงินหรือบิดพริ้วไม่ชําระหนี้ ก็จะกลายเป็นลูกหนี้ทันที สถาบันการเงินก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ชำระหนี้จากเจ้าของธุรกิจได้
ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช, กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วย นิติกรรมและหนี้(ไม่ปรากฏสํานักพิมพ์:2482), หน้า 32
วรรณฤทธิไกร วรรณชูพริ้ง, สรุปย่อกฎหมาย(กรุงเทพฯ, ไม่ปรากฏสํานักพิมพ์,2550), หน้า 61
https://thac.or.th/th/default-and-breach-of-contract-are-the-same-or-different/วันที่สืบค้น 26 สค.67